ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อการยกระดับคุณภาพชีวิตและการคุ้มครองสิทธิเด็กผู้อพยพและผู้ย้ายถิ่นฐานในประเทศไทย
เอกสารฉบับนี้สรุปข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย โดยมีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาความท้าทายที่กลุ่มผู้อพยพและผู้ย้ายถิ่นฐาน (รวมถึงเด็กข้ามชาติ) ต้องเผชิญในปัจจุบัน โดยแบ่งตามประเด็นเร่งด่วนดังต่อไปนี้:
- ด้านการจัดการเอกสารทางกฎหมายและสถานะบุคคล
เพื่อลดการพึ่งพานายหน้า (โบรกเกอร์) ที่ผิดกฎหมาย และสร้างความมั่นคงในสถานะบุคคล:
- ปฏิรูปกระบวนการ: ทบทวนและปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการและขั้นตอนการออกเอกสารประจําตัวของรัฐ (เช่น บัตรประจําตัวประชาชน) ให้มีความโปร่งใส รวดเร็ว และลดขั้นตอนที่ซ้ำซ้อน
- เพิ่มการเข้าถึงสถานะที่มั่นคง: ผ่อนปรนหลักเกณฑ์และลดอุปสรรคในการเข้าถึงบัตรพํานัก 10 ปี (10-year residency card) สําหรับผู้ที่มีคุณสมบัติครบถ้วน
- สร้างกลไกรับรอง: พิจารณาจัดตั้งระบบการออก "ใบรับรองการลี้ภัย" (Asylum Certificate) หรือเอกสารรับรองสถานะรูปแบบอื่น สําหรับกลุ่มผู้ย้ายถิ่นฐานที่ผิดปกติ (Irregular migration) เพื่อใช้เป็นหลักฐานชั่วคราวในการเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐาน
- ลดภาระการพิสูจน์: กําหนดแนวทางให้หน่วยงานรัฐลดการเรียกใช้เอกสารประกอบ (Excessive documentation) ที่ไม่จําเป็น สําหรับผู้อพยพที่ผิดปกติในการติดต่อราชการ
- คุ้มครองเด็ก: พัฒนาระบบการออกเอกสารระบุตัวตนที่ถูกต้องตามกฎหมายไทยให้แก่เด็กข้ามชาติ และส่งเสริมการเจรจาเพื่อให้เอกสารดังกล่าวเป็นที่ยอมรับในการเดินทางไปยังประเทศที่สาม
- พัฒนาช่องทางถูกกฎหมาย: สร้างและประชาสัมพันธ์ช่องทางการย้ายถิ่นฐานทางกฎหมาย (Legal pathways) ที่มีความหลากหลายและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น
- ด้านการสื่อสารและการอยู่ร่วมกันในสังคม
เพื่อลดอุปสรรคทางภาษา ซึ่งนําไปสู่การถูกหลอกลวง การดูถูก และการเลือกปฏิบัติ:
- การเข้าถึงภาษา: สนับสนุนงบประมาณและทรัพยากรในการจัดทําหลักสูตรและโปรแกรมการเรียนภาษาไทยที่มีคุณภาพ ราคาไม่แพง และเข้าถึงได้ง่ายสําหรับผู้อพยพทุกกลุ่ม
- มาตรการทางสังคม: บังคับใช้กฎหมายและรณรงค์ทางสังคมอย่างจริงจัง เพื่อยุติการกลั่นแกล้ง (Bullying) และสร้างหลักประกันสิทธิที่เท่าเทียมในการอยู่ร่วมกัน
- การมีส่วนร่วมของเด็ก: สร้างกลไกหรือพื้นที่ปลอดภัยที่รับฟังเสียงสะท้อน (Listen to voices) ของเด็กข้ามชาติ และนําข้อมูลความคิดเห็นของพวกเขามาประกอบการพิจารณาในการออกกฎหมายและนโยบายที่เกี่ยวข้อง
- ด้านการเข้าถึงการศึกษาขั้นพื้นฐาน
เพื่อแก้ไขปัญหาการเข้าไม่ถึงการศึกษาที่เหมาะสม เนื่องจากสถานะทางกฎหมาย อายุ หรือการเลือกปฏิบัติ:
- การศึกษาเพื่อปวงชน (EFA): บังคับใช้นโยบายการศึกษาเพื่อปวงชนอย่างเคร่งครัด เพื่อสร้างหลักประกันว่าเด็กทุกคนในประเทศไทยสามารถเข้าถึงการศึกษาภาคบังคับได้อย่างเท่าเทียม โดยไม่คํานึงถึงสัญชาติ ชาติพันธุ์ หรือสถานะทางกฎหมาย
- ทบทวนข้อจํากัด: ยกเลิกหรือผ่อนปรนข้อจํากัดด้านอายุ (Strict age restrictions) ที่เข้มงวดเกินไป ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการเข้าเรียนในระบบโรงเรียนของรัฐ
- ขจัดการเลือกปฏิบัติ: กํากับดูแลและป้องกันการเลือกปฏิบัติ (Discrimination) ทุกรูปแบบที่มีต่อเด็กข้ามชาติในระบบการศึกษาของรัฐ
- การพัฒนาศักยภาพ: ส่งเสริมโครงการเสริมสร้างศักยภาพ (Empowerment) การฝึกอบรมทักษะ และโอกาสทางการศึกษาที่หลากหลาย นอกเหนือจากระบบโรงเรียนกระแสหลัก
- ด้านการเข้าถึงการศึกษาระดับอุดมศึกษา
เพื่อขยายโอกาสทางการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยสําหรับผู้อพยพ:
- มาตรการด้านค่าเล่าเรียน: พิจารณามาตรการสนับสนุนด้านค่าเล่าเรียน หรือจัดตั้งกองทุนพิเศษ เพื่อให้การศึกษาระดับอุดมศึกษามีราคาที่เข้าถึงได้ (Affordable)
- ความเท่าเทียมในอุดมศึกษา: สร้างหลักประกันการเข้าถึงการศึกษาระดับอุดมศึกษาอย่างเท่าเทียม โดยไม่ใช้สัญชาติหรือเชื้อชาติเป็นเกณฑ์ในการกีดกัน
- การเข้าถึงทุนการศึกษา: แก้ไขกฎระเบียบของกองทุนทุนการศึกษาต่างๆ (ทั้งของรัฐและเอกชน) เพื่ออนุญาตให้เด็กที่ถือบัตรพํานัก 10 ปี หรือบัตรสีชมพู (ผู้ติดตามแรงงาน) มีสิทธิ์สมัครรับทุนการศึกษาได้
- โครงการพัฒนาเยาวชน: ออกแบบแผนงานและโครงการพัฒนาเยาวชน (Youth development) ของภาครัฐให้มีความครอบคลุม (Inclusive) โดยรวมถึงกลุ่มเยาวชนข้ามชาติด้วย
- ด้านการจ้างงานและแรงงานสัมพันธ์ (เป็นข้อเสนอของเด็ก ๆ ที่เป็นผลกระทบจากผู้ปกครองที่ส่งผลถึงตัวเด็ก)
เพื่อแก้ไขปัญหาการจ้างงานไม่ตรงตามทักษะ (Underemployment) และการถูกแสวงหาประโยชน์:
- ค่าจ้างที่เป็นธรรม: บังคับใช้กฎหมาย "ค่าจ้างเท่าเทียมสําหรับงานที่เท่าเทียม" (Equal pay for equal work) อย่างจริงจัง โดยให้แรงงานข้ามชาติได้รับค่าจ้างและสวัสดิการเทียบเท่าคนไทยเมื่องานมีลักษณะเดียวกัน
- ทบทวนการบังคับใช้กฎหมาย: ทบทวนแนวปฏิบัติในการบังคับใช้กฎหมายแรงงาน มุ่งเน้นการคุ้มครองสิทธิแทนการจับกุม (Reduce arrests) และอํานวยความสะดวกในการต่ออายุเอกสาร
- ยุติการแสวงหาประโยชน์: เพิ่มมาตรการทางกฎหมายและบทลงโทษที่รุนแรง เพื่อยุติการเลือกปฏิบัติและการแสวงหาประโยชน์ (Exploitation) ต่อแรงงานข้ามชาติ
- ขยายโอกาสการจ้างงาน: เพิ่มประเภทงานและโอกาสในการจ้างงานที่ถูกกฎหมาย (Legal job opportunities) ให้สอดคล้องกับทักษะและความสามารถของแรงงานข้ามชาติ
- การจ้างงานภาครัฐ: สร้างช่องทาง (Pathway) ให้ผู้อพยพที่มีคุณสมบัติและสถานะที่ถูกต้อง สามารถเข้าถึงโอกาสในการจ้างงานในงานหรือโครงการที่เกี่ยวข้องกับภาครัฐได้
- ด้านบริการสุขภาพและสาธารณสุข
เพื่อให้ผู้อพยพสามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่เหมาะสม:
- หลักประกันสุขภาพ: สร้างหลักประกันการเข้าถึงบริการสุขภาพและสาธารณสุขที่จําเป็น (Essential healthcare) ให้มีความเท่าเทียมกับพลเมืองไทย
- พัฒนาระบบที่เข้าถึงได้: พัฒนาระบบประกันสุขภาพทางเลือก หรือปรับปรุงระบบประกันสังคม ให้ครอบคลุมกลุ่มผู้อพยพและผู้ติดตาม โดยลดอุปสรรคด้านเอกสาร ภาษา และค่าใช้จ่าย
- ด้านการเข้าถึงบริการรัฐและสิทธิพลเมืองขั้นพื้นฐาน
เพื่อแก้ไขปัญหาการเข้าไม่ถึงบริการพื้นฐานของรัฐ (เช่น วัคซีน เงินกู้เพื่อการศึกษา ฯลฯ):
- รับรองสิทธิเท่าเทียม: บังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ผู้อพยพที่ถูกกฎหมายสามารถเข้าถึงบริการพื้นฐานของรัฐได้
- การคุ้มครองเด็ก: ร่างและบังคับใช้กฎหมายและนโยบายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิของเด็ก (อายุต่ํากว่า 18 ปี) อย่างรอบคอบ โดยยึดหลักการเคารพศักดิ์ศรีและการไม่เลือกปฏิบัติ (Non-discrimination)
- กลไกการรับฟัง: จัดตั้งกลไกการมีส่วนร่วมภาคประชาชน เพื่อรับฟังเสียงสะท้อนและข้อเสนอแนะจากผู้อพยพ เพื่อนําไปปรับปรุงกฎหมายและนโยบายอย่างต่อเนื่อง
- กลไกเฉพาะสําหรับเด็ก: พิจารณาจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ หรือคณะทํางานเฉพาะกิจ เพื่อรับฟังเสียงของเด็กข้ามชาติโดยตรง และดําเนินการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม
- ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม (ด้านมนุษยธรรมและการอยู่ร่วมกัน)
- บทบาทด้านมนุษยธรรม: ส่งเสริมบทบาทของประเทศไทยในการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และสนับสนุนการเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้งในประเทศเพื่อนบ้าน (เช่น เมียนมา) ซึ่งเป็นต้นเหตุของการย้ายถิ่นฐาน
- การรณรงค์ทางสังคม: (เน้นย้ำจากข้อ 2) ผลักดันนโยบายระดับชาติเพื่อสร้างสังคมที่เคารพความหลากหลาย และรับรองสิทธิที่เท่าเทียมกันของผู้อพยพในการอยู่ร่วมกัน